การกินตามฤดูการ (Seasonal Eating) เป็นสิ่งที่มนุษย์เราเมื่อสมัยก่อนการปฏิวัติทางเกษตรกรรม (Agricultural Revolution) กินครับ โดยเฉพาะสมัย Paleolithic (ประมาณ 10,000 ปีมาแล้ว) โดยคนในสมัยนั้นไม่มีซุปเปอร์มาเก็ตครับ เวลาเค้าหาอาหารกินเข้าต้องเข้าป่าไปหาอาหารกิน ซึ่งในป่านั้นก็จะมีแต่ผลไม้ที่งอกมาตามธรรมชาติและตามฤดูการ ซึ่งไม่เหมือนสมัยนี้เรามีมะม่วงกินทั้งปี หาง่ายๆแค่ไป Supermarket แถวบ้านก็มีแล้วครับ การกินตามฤดูการนั้นไม่ใช่แค่มีผลดีต่อตัวเราเอง แต่ต่อโลกของเราด้วยครับ
ผลไม้ตามฤดูการมีราคาที่ถูก
ผลไม้ตามฤดูการนั้นสามารถโตได้ง่ายเพราะว่ามันตรงตามฤดูครับ เราก็ไม่สงใสเลยว่าฤดูมะม่วงทีไรก็มีแต่มะม่วงขายเต็มท้องตลาดเลย (ผมจะใช้มะม่วงเป็นตัวอย่างนะครับในที่นี้) และราคานั้นก็ไม่แพงเทียบกับตอนที่ซื้อมะม่วงในเวลาที่ไม่ใช่ช่วงมะม่วงด้วยครับ เพราะว่าถ้าไม่ใช่ช่วงมะม่วงนั้น แม่ค้าพ่อค้าหรือว่า Supermarket รายใหญ่ๆเช่น Big C อาจจะต้องนำมะม่วงเข้ามาจากแดนไกลครับ ก็คือต้องนำเข้ามะม่วงมาจากที่ที่กำลังเป็นฤดูมะม่วงครับ ก็เลยทำให้มีค่าขนส่ง ค่าดูแลรักษาไม่ให้เน่าเปื่อย ก็เลยทำให้มะม่วงที่นำเข้ามาราคาแพงกว่าซื้อในช่วงฤดูมะม่วงครับ
ผลไม้ตามฤดูการนั้นดีต่อสุขภาพ
ผลไม้ที่ไม่ได้งอกตามฤดูการนั้นจะต้องถูกเด็ดออกมาทั้งๆที่ยังไม่สุกเพราะว่าต้องขนส่งไปยังแดนไกล อย่างที่เกล่าไปครับ ผลไม้ที่ไม่ได้งอกตามฤดูการนั้นยากที่จะสามารถเติบโตได้ในประเทศเรา ดังนั้นเราต้องนำเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้านหรือบริเวณที่ไกลมากๆ จึงทำให้เค้าต้องเด็ดผลออกมาก่อนสุก ซึ่งจะทำให้ผลไม้สุกพอกินเมื่อถึงตลาดที่ขายผลไม้ครับ ปัญหาก็คือการเด็ดผลไม้ก่อนที่จะสุกนั้น นอกจากทำให้ผลไม้เสียรสชาติแล้ว ก็ยังทำให้เสียคุณประโยชน์ด้วยครับ เช่น การเสื่อมหรือการลดลงของวิตามินในผลไม้
การกินผลไม้นอกฤดูการเป็นการส่งเสริมให้เกิดภาวะโลกร้อน
อย่างที่กล่าวไปว่า ผลไม้นอกฤดูการส่วนใหญ่นั้นจะต้องถูกนำเข้าครับก็หมายความว่า ระหว่างการขนส่งเนี่ย มันจะมี "มลพิษทางอากาศ" ไม่ว่าจะขนส่งทาง รถ ทางเรือ ทางเครื่องบิน ต่างก็มีมลภาวะทางอากาศซึ่งสามารถก่อให้เกิดแก๊สเรือนกระจกได้ครับ
No comments:
Post a Comment